Properties



การเกิดเมืองโบราณ
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในภาคอีสาน มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามเพิงผา ตามถ้ำและบริเวณใกล้ริมน้ำ เช่น แถบอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และตามหน้าผาตามริมแม่น้ำโขง เช่น ผาแต้มที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ในการดำรงชีวิตชุมชนต่างๆ เหล่านี้อาศัยธรรมชาติเป็นสำคัญ เช่น การล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่าเป็นอาหาร บางท่านจึงเรียกสังคมในยุคแรกเริ่มนี้ว่าสังคมล่าสัตว์
จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียงและแหล่งอื่นๆ ในอีสาน ทำให้เราทราบว่า เมื่อประมาณ 5,600 ปีมาแล้ว ชุมชนในอีสานได้อพยพจากที่สูงตามเพิงผา ลงมาอยู่ที่บริเวณ ที่ต่ำ เช่นที่บ้านเชียง บ้านนาดี ในจังหวัดอุดรธานี และที่บ้านในนนกทา บ้านโนนชัย จังหวัดขอนแก่น ชุมชนเหล่านี้ได้พัฒนาตนเองเป็นชุมชนแบบเกษตรกรรม มีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ รู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผา การหล่อสำริดและเหล็กตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคประวัติศาสตร์ และเริ่มก่อรูปกลายเป็นเมืองในเวลาต่อมา
สังคมโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีความเป็นอยู่แต่ละกลุ่มแต่ละเผ่าเป็นอิสระ มีความเชื่อทางศาสนาเป็นของกลุ่มของตน ไม่ยอมรับความเชื่อจากคนเผ่าอื่นอย่างง่ายๆ ต่อมาได้เกิดความจำเป็นในการติดต่อคบค้าสมาคม เพื่อการดำรงชีวิตที่สะดวกและดีขึ้น จึงมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่หายากระหว่างกลุ่ม บางกลุ่มมีการแก้ปัญหาโดยการแต่งงานกัน แต่ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาสนายังเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่ม เมื่อหลายๆ กลุ่มเกิดเป็นพันธมิตรกัน จึงทำให้ชุมชนดังกล่าว หันหน้ามาร่วมมือกันสร้างที่อยู่อาศัยให้กว้างขวางใหญ่โตและกลายเป็นสังคมเมือง มีการยอมรับในผู้นำที่มีความสามารถโดยมีศาสนาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเมืองการปกครอง
การพัฒนาของชุมชนเกษตรกรรมมาเป็นชุมชนแบบเมืองในภาคอีสาน รวมทั้งเอเซียอาคเนีย์นั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าได้เริ่มขึ้นในดินแดนแถบนี้ โดยได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมของอินเดียวและจีน โดยเฉพาะอิทธิพลทางด้านศาสนาจากอินเดีย ยังผลให้ชุมชนในดินแดนต่างๆ ได้เริ่มก่อตั้งเป็นเมืองหรือเป็นรัฐเล็กๆ ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เช่น ฟูนัน จัมปา เจนละ เป็นต้น รัฐเหล่านี้ได้สถาปนาระบบกษัตริย์ และพิธีกรรมต่างๆ ในราชสำนัก โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี การได้รับวัฒนธรรมจากอินเดีย จึงเป็นการพัฒนาตนเองให้เจริญขึ้นตามลำดับทั้งในด้านจิตใจและวัตถุ ซึ่งเป็นการพัฒนาสู่ขั้นอารยธรรมนั่นคือในด้านของการสร้าง เมืองเจ้าผู้ครองได้สร้างเมืองล้อมรอบด้วยคูน้ำและป้อมปราการ สร้างปราสาทเป็นที่อยู่ของกษัตริย์ พระราชวงศ์ และพระเจ้า โดยมีพราหมณ์ปุโรหิตอาศัยอยู่อีกส่วนหนึ่งในหัวเมืองหรือนคร
ชุมชนในสอีสานได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย โดยผ่านขึ้นตามลำน้ำโขง (อาณาจักรเจนละ) และจากภาคกลางของประเทศไทย (อาณาจักรทวารวดี) ดังนั้น เมืองใดที่อยู่ริมฝั่งทะเลย่อมได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้เร็วกว่า ส่วนเมืองในบรรดายุคแรกๆ ของอีสานซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจะได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมช้ากว่า ดังปรากฏหลักฐานให้เห็นถึงภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองโบราณ เช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง และนครจัมปาศรี โดยเฉพาะเมืองนครจัมปาศรี อันเป็นที่ตั้งของอำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบันได้ปรากฏหลักฐานที่เป็นโบราณสถานวัตถุ ตลอดจนมีการขุดค้นพบพระพิมพ์ดินเผาและสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อันแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านการเมืองและความเจริญในทางพระพุทธศาสนาอย่างถึงที่สุด
2.2 โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่ปรากฏในท้องที่อำเภอนาดูน
(1) กู่สันตรัตน์ ตั้งอยู่ที่ตำบลกู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน เป็นโบราณสถานที่สร้างด้วยศิลาแลง ศิลปะแบบบายน สมัยลพบุรี สร้างประมาณปี พ.ศ.1650-1700 สมัยพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของขอม ผู้เคร่งในศาสนาพุทธนิกายมหายาน สร้างขึ้นเป็นเทวสถานและพุทธสถาน ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วที่สร้างด้วยศิลาแลง สูงประมาณ 1.50 เมตร องค์กู่สูงประมาณ 10 เมตร หน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่นได้ขุดแต่งเมื่อ พ.ศ.2514 ได้พบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระพุทธรูปปางนาคปรก (ศิลาทราย) พระโพธิสัตว์วัชรธร (ศิลาทราย) ซึ่งเป็นศิลปะสมัยลพบุรีประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 ปัจจุบันอยูที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2514 เวลา 16.25 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกู่สันตรัตน์แห่งนี้ นับว่าเป็นสิริมงคลแก่ชาวนาดูนเป็นอย่างยิ่ง
(2) กู่น้อย อยู่ติดกับกู่สันตรัตน์ ไปทางทิศตะวันออก เป็นปรางค์ขอมก่อด้วย ศิลาแลงมีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ สูง 1.80 เมตร องค์กู่พังเกือบหมด ในการขุดแต่งของหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น พบศิลปวัตถุสมัยลพบุรีหลายชิ้น ชิ้นที่งามที่สุดคือ รูปพระอิศวรรูปพระนารายณ์และเศียรเทวรูป ซึ่งทำด้วยหินทราย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น
(3) ศาลานางขาว (นางชี) อยู่ติดกับกู่สันตรัตน์ไปทางทิศเหนือ เป็นปรางค์ขอม ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ สูงประมาณ 1 เมตร ตัวกู่พังทลายเกือบหมด หน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น ขุดแต่งเมื่อปี พ.ศ.2514 พบศิลาจารึก 1 หลัก สูง 21 เซนติเมตร กว้าง 9 เซนติเมตร หนา 4.5 เซนติเมตร มีจารีกรวม 14 บรรทัด ส่วนบรรทัดที่ 15 ได้ขาดหายไป เพราะศิลาจารึกหักเป็นท่อนออกจากกัน
อาจารย์อำไพ คำโท ได้กล่าวถึงศิลาจารึกหลักนี้ว่า เนื้อหาในจารึกได้กล่าวถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 หรือพระบาทบรมไกวัลยบท (พ.ศ.1623 – 1650) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้บรรดาพวกข้าราชการผู้มีนามว่า ราชปติวรมัน ซึ่งเป็นนามซ้ำกันทั้ง 3 คนนี้ จารสุพรรณบัตรเพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ใน กัมรเตงชคต หรือเทวสถาน ส่วนที่มีคำว่า ราชปติวรมัน ซ้ำกันอยู่ทั้ง 3 คนในจารึกนั้น หมายถึงคำที่เป็นชื่อบุคคลผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือชื่อที่ได้รับพระราชทาน เพราะชื่อบุคคลที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือชื่อที่ได้รับพระราชทานนี้ มักจะมีความหมายไปในทางใหญ่โตมีอำนาจราชศักดิ์ หรือมิเช่นนั้นจะมีความหมายไปในทางที่เกี่ยวกับหน้าที่การงานหรือที่อยู่อาศัย สำหรับชื่อ บุคคลที่มิใช่เชื้อพระวงศ์ หรือชื่อที่ไม่ได้รับพระราชทานนั้น มักจะใช้คำธรรมดาซึ่งเป็นความหมายทั่วๆ ไป และคำนำหน้านามที่ซ้ำกันทั้ง 3 คำดังกล่าวมิใช่เป็นคนเดียวกัน แต่เป็นคนละคน สำหรับคำทั้ง 3 คำนั้นคือ มาตาญ กัมรเตง และกำเสตง